Saturday, February 28, 2009

พล่า 3 ทัพ (หอย 3 ชนิด)


ส่วนผสม
หอยแมลงภู่ลวก (แกะเนื้อ) 1/2 ถ้วย
หอยแครงลวง (แกะเนื้อ) 1/2 ถ้วย
หอยนางรมสด (แกะเนื้อ) 1/2 ถ้วย
หอมแดงซอย ตะไคร้ซอย (อย่างละ) 1/4 ถ้วย
ใบมะกรูดซอย 1 ช้อนชา
พริกขี้หนูซอย 1 ช้อนโต๊ะ
มะม่วงเปรี้ยวสับ 1/4 ถ้วย
น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว น้ำปลา (อย่างละ) 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสพริก 2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
ยอดกระถิน 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ผสมน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลและพริกขี้หนูเข้าด้วยกัน พักไว้

2. เคล้าหอยแมลงภู่ หอมแดงซอย ตะไคร้ซอยอย่างละครึ่ง และเติมน้ำปรุงรสในข้อ 1 ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน

3. เคล้าผสมหอยแครง หอมแดงซอย ตะไคร้ซอยที่เหลือ ใบมะกรูด มะม่วงสับและน้ำปรุงรสประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน

4. เคล้าผสมหอยนางรม ยอดกระถิน น้ำพริกเผาและน้ำปรุงรส ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน โรยยหน้าด้วยหอมแดงเจียว

5. จัดเสิร์ฟขณะเย็น

ปล. ก็จะได้อาหาร 3 ชุดด้วยกันนะคะ

Friday, February 27, 2009

พริกแกงต่างๆ

น้ำพริกแกงส้มพริกสด
เครื่องปรุง
พริกเหลือง 50 กรัม
หอมแดง 50 กรัม
ข่า 1 ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
โขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด
ลักษณะที่ดี ค่อนข้างละเอียด สีเหลืองของพริกหอมแบบเผ็ด

น้ำพริกแกงส้มพริกแห้ง
เครื่องปรุง
พริกแห้ง 15 กรัม
หอมแดง 50 กรัม
ข่า 7 ช้อนชา
เกลือป่น 1 ช้อนชา
กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
โขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด
ลักษณะที่ดี เนื้อละเอียดสีแดงออกส้ม ค่อนข้างแฉะ กลิ่นหอม ถ้าชอบกระชายให้ใส่กระชายลงไปด้วย 1 ช้อนชา

น้ำพริกแกงเผ็ด
เครื่องปรุง
พริกแห้ง 15 กรัม
หอมเล็กซอย 20 กรัม
กระเทียมซอย 25 กรัม
ตะไคร้ซอย 15 กรัม
ผิวมะกรูดซอย 1 ช้อนชา
ข่าซอย 1 ช้อนชา
ลูกผักชีป่น 1/2 ช้อนชา
ยี่หร่าป่น 1/2 ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
โขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด
ลักษณะที่ดี เนื้อเนียน ละเอียด สีแดงหอมเครื่องเทศ

น้ำพริกแกงคั่ว
เครื่องปรุง
พริกแห้ง 15 กรัม
หอมซอย 20 กรัม
กระเทียมซอย 20 กรัม
ข่าซอย 1 ช้อนชา
ตะไคร้ซอย 25 กรัม
รากผักชี 1 ช้อนชา
ผิวมะกรูดหั่นฝอย 1 ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
กะปิ 1 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
โขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด
ลักษณะที่ดี เนื้อละเอียดเนียน สีแดง

น้ำพริกแกงกระหรี่
เครื่องปรุง
พริกแห้ง 10 กรัม
หอมซอย 20 กรัม
กระเทียมซอย 25 กรัม
ตะไคร้ซอย 1 ช้อนชา
ข่าซอย 1 ช้อนชา
รากผักชี 1 ช้อนชา
ลูกผักชีป่น 1/2 ช้อนชา
ยี่หร่าป่น 1/2 ช้อนชา
เกลือป่น 1 ช้อนชา
ผงกะหรี่ 1 1/2 ช้อนชา
กะปิ 1 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
โขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด
ลักษณะที่ดี น้ำพริกละเอียดออกสีเหลืองอมแดง หอมผงกะหรี่

น้ำพริกแกงเหลือง
เครื่องปรุง
พริกขี้หนูแห้ง 25 กรัม
พริกขี้หนูสด 10 กรัม
หอมแดง 50 กรัม
กระเทียม 50 กรัม
กะปิ 50 กรัม
ขมิ้นสดซอย 1 ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
โขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด
ลักษณะที่ดี สีเหลืองคล้ำ กลิ่นหอม เนื้อละเอียด

น้ำพริกแกงลาว
เครื่องปรุง
พริกบ้าน 35 กรัม
ตะไคร้ 50 กรัม
หอมแดง 50 กรัม
วิธีทำ
1. ซอยตะไคร้ หอมแดง
2. โขลกเครื่องแกงพอละเอียดไม่ต้องละเอียดมาก
ลักษณะที่ดี สีเขียวอ่อน กลิ่นหอมตะไคร้ ถ้าจะให้แกงข้นใส่เนื้อปลาย่างลงในน้ำพริกแกงโขลกรวมกันหรือจะใส่ข้าวเบือลงไปก็ได้ ข้าวเบือคือข้าวสารหรือข้าวเหนียวแช่น้ำแล้วโขลกรวมกับน้ำพริกแกง ทำให้แกงข้น

Thursday, February 26, 2009

ผัดขนมจีน


ส่วนผสม
ขนมจีน 2 จับ
หมูยอหั่น 1/2 ถ้วย
กุนเชียงหั่น 1/2 ถ้วย
แครอทซอย 1/4 ถ้วย
ต้นหอมหั่นท่อน 1/4 ถ้วย
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสผัด 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเตาทราย 1 ช้อนชา
หมูหยอง 1/2 ถ้วย
พริกไทยเล็กน้อย ผักกาดหอมซอย

วิธีทำ
1. ผัดหมูยอกับกุนเชียงให้เหลือง
2. เติมเส้นขนมจีนและน้ำเล็กน้อย ปรุงรสด้วยซอสผัด น้ำพริกเผา น้ำตาลทรายและพริกไทย ผัดให้เข้ากัน
3. เติมแครอทซอย และต้นหอมหั่นท่อน ผัดให้เข้ากัน จัดใส่จาน
4. โรยหน้าด้วยหมูหยอง เสิร์ฟพร้อมผักกาดหอมซอย

Wednesday, February 25, 2009

ปาเอญ่า (ข้าวอบอาหารทะเล)


ส่วนผสม
ข้าวสาร 1 1/2 ถ้วย
หอยแมลงภู่ 4 ตัว
หอยตลับ 4 ตัว
ปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ 1 กระป๋อง
ปลาหมึกหั่นขวาง 1/4 ถ้วย
กุ้ง 4 ถ้วย
ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ
ถั่วลันเตาเม็ด 1/4 ถ้วย
น้ำซุป 3 ถ้วย
เกลือ พริกไทยดำ

วิธีทำ
1. ซาวข้าวให้สะอาด
2. ใส่ข้าวสาร และอาหารทะเลลงในหม้อหุงข้าว
3. ปรุงรสด้วยซอสมะเขือเทศ ซอสพริก เกลือ พริกไทยดำ และเติมน้ำซุป
4. หุงข้าวให้สุก โรยด้วยเม็ดถั่วลันเตา ตักเสิร์ฟขณะร้อน

Tuesday, February 24, 2009

ปูนึ่งนมสด


ส่วนผสม
ก้ามหรือกรรเชียงปู 300 กรัม
ยอดหน่อไม้ฝรั่ง 60 กรัม
แครอทฝานลวก 50 กรัม
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย 1/4 ช้อนชา
นมข้นจืด 1/4 ถ้วย
น้ำซุป 3/4 ถ้วย
กระเทียมเจียว 1 ช้อนชา
ไข่ไก่ 1 ฟอง

วิธีทำ
1. ผสมนมข้นจืด น้ำซุปและไข่ไก่เข้าด้วยกัน
2. เคล้าเนื้อปูกับพริกไทย และซอสหอยนางรม พักไว้
3. เรียงเนื้อปู หน่อไม้ฝรั่ง และแครอทลงในภาชนะสำหรับนึ่ง
4. เทนมที่ผสมไว้ (ในข้อ 1) ลงในภาชนะที่มีปู และนำผักเรียงให้สวยงาม
5. นำไปนึ่งประมาณ 20 นาที หรือจนปูสุก
6. โรยด้วยกระเทียมเจียว เสิร์ฟร้อนๆ

Monday, February 23, 2009

ปอเปี๊ยะญวน


เครื่องปรุง
ผักกาดหอมหั่นซอยหยาบ
แตงกวาหั่นบางๆตามยาว
โหระพา
ใบสะระแหน่
แครอตหั่นหรือขูดเป็นเส้นยาว
ผักแพว
ไข่เจียว
หมูยอหรือไก่ยอ หันเป็นเส้นตามยาว

วิธีทำ
นำแผ่นปอเปี๊ยะญวนมาพรมน้ำให้นิ่ม จากนั้นใส่เครื่องเคียงทั้งหมดอย่างละนิดตามความต้องการ วางลงบนแผ่นแป้ง ห่อม้วนให้กลม พับแป้งส่วนหัวและท้ายให้เรียบร้อย
สำหรับวิธีการทำ นำแผ่นเปาะเปี๊ยะญวนมาพรมน้ำให้นิ่ม จากนั้นใส่เครื่องเคียงทั้งหมดอย่างละนิดหน่อยวางลงบนแผ่นแป้ง ห่อม้วนให้กลม พับแป้งส่วนหัวและท้ายให้เรียบร้อย

ส่วนผสมน้ำจิ้ม
น้ำส้มสายชู เกลือ น้ำตาลทราย นำมาเคี่ยวให้เดือด (ค่อนข้างเหนียว) จากนั้นชิมรสให้ออกเปรี้ยวหวานนำ เค็มตาม นำพริกขี้หนูและกระเทียมตำหยาบลงเคล้ากับน้ำจิ้ม บีบมะนาวผสมลงเพิ่มรสชาติเล็กน้อย จัดเสิร์ฟทันทีพร้อมเปาะเปี๊ยะญวนหั่นเป็นท่อนพอคำ

Sunday, February 22, 2009

ปลาหมึกผัดไข่เค็ม


ส่วนผสม
ปลาหมึกบั้ง หั่นชิ้นใหญ่ 1 ถ้วย
ไข่แดงเค็ม (ดิบ) 1 ลูก
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย 1/4 ช้อนชา
น้ำตาล 1 ช้อนชา
น้ำซุป 1/4 ถ้วย
ต้นหอมหั่นท่อน 1/4 ถ้วย
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบเล็กน้อย

วิธีทำ
1. ยีไข่แดงเค็มพอแตก
2. ตั้งน้ำมันในกระทะให้ร้อน นำปลาหมึกลงผัด
3. ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม น้ำตาล พริกไทย และน้ำซุป
4. พอปลาหมึกสุกทั่ว เติมไข่แดงที่ยีไว้ ต้นหอม และพริกชี้ฟ้า
5. ผัดให้เข้ากัน เสิร์ฟขณะร้อน รับปรทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ

Saturday, February 21, 2009

มะระขี้นกผัดไข่เค็มกระเทียมโทนดอง


เครื่องปรุง
มะระขี้นก 15 ลูก
ไข่เค็มแกะเปลือกหั่นหยาบๆ 1 ลูก
ไข่ (ตีให้เข้ากัน) 1 ฟอง
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมโทนดองหั่นบางๆ 1/3 ถ้วย
พริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย 1 เม็ด
น้ำปลา 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ล้างมะระให้สะอาด ผ่าครึ่ง ขูดเอาเมล็ดออก หั่นบาง ๆ แช่ในน้ำเกลือ พอคลายขม เอาขึ้น บีบน้ำออก
2. ใส่น้ำมันลงไปในกระทะ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่กระเทียมลงไปเจียวพอหอม ใส่มะระลงผัด พอสุก กันไว้ข้าง ๆ คนไข่กับกับไข่เค็มเข้าด้วยกัน
3. ในกระทะเดียวกันใสน้ำมันที่เหลือลงไป นำไข่ลงทอดจนไข่นจวนสุก คนมะระที่ผัดไว้กับไข่ให้เข้ากัน โรยด้วยกระเทียมโทนดอง และ ใส่พริกชี้ฟ้าแดงคนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ถ้าอ่อนเค็มให้เติมน้ำปลา

ปลาย่างตะไคร้


ส่วนผสม
เนื้อปลาแล่ตามยาว 6 ชิ้น
ตะไคร้ 4 ต้น
มะเขือม่วงหั่นเต๋า 1/2 ถ้วย
มะเขือเทศหั่นเต๋า 1/4 ถ้วย
เห็ดหั่นบาง 1/2 ถ้วย
ซูกินีหั่นเต๋า 1/2 ถ้วย
ฟักทองหั่นเต๋า 1/4 ถ้วย
แครอทฝานบาง 1/4 ถ้วย
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมทุบ 1 ช้อนชา
เกลือ
พริกไทยดำ

วิธีทำ
1. ม้วนเนื้อปลา แล้วเสียบด้วยก้านตะไคร้ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ทาด้วยน้ำมันพืชเล็กน้อย
2. วางเนื้อปลาลงบนฟอยล์ โรยด้วยตะใคร้ซอยบางๆและน้ำซุปเล็กน้อย ห่อให้สนิท
3. นำปลาไปย่างในเตาอบประมาณ 15 นาที หรือจนปลาสุก
4. ผัดมะเขือม่วง แครอท ฟักทอง กระเทียมและน้ำมันให้นุ่ม เติมเห็ด มะเขือเทศ และซูกินี
5. ปรุงรสด้วยเกลือ และพริกไทยดำ
6. จัดใส่จาน วางเนื้อปลาย่างร้อนๆ เสิร์ฟทันที

หมายเหตุ..ซูกินี จะคล้ายๆแตงกวาของไทยเรา สีเปลือกจะเข้มกว่าค่ะ ตามรูปนะคะ

Wednesday, February 18, 2009

ปลาทับทิมม้วนผัดน้ำมันหอย


ส่วนผสม
ปลาทับทิม 1 ตัว
แครอทหั่นเป็นแท่งยาว ลวกพอสุก 1 หัว
หน่อไม้ฝรั่งตัดเป็นท่อนๆ ลวกพอสุก 5 ต้น
เกลือ 2 ช้อนชา
น้ำมันหอย 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมัน 1/4 ถ้วย
กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๋วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย 1 ช้อนชา
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ขอดเกล็ดปลาทับทิมให้สะอาด ควักเอาไส้ออกล้างให้สะอาด
2. แล่ปลาเป็นแผ่นตามยาวของตัวปลาจนหมด นำเกลือใส่เคล้ากับปลาให้ทั่ว
3. นำปลา 1 ชิ้น วางด้วยแครอท หน่อไม้ฝรั่ง ม้วนปลาให้แน่น มัดหัวท้าย นำปลาไปนึ่งพอสุกยกลงจัดในจาน
4. นำน้ำมันใส่กระทะพอร้อน ใส่กระเทียมผัดให้หอม ใส่น้ำมันหอย ซีอิ๋วขาว น้ำตาลทราย พริกไทย ซอสปรุงรส ชิมรส เมื่อรสดีแล้วตัดราดบนปลาที่ม้วนแล้วให้สวยงาม

Tuesday, February 17, 2009

ปลาดุก น้ำปลาหวาน สะเดา


เครื่องปรุง
ปลาดุกอุย 1-2 ตัว
ตะไคร้หอม 1 ช้อนโต๊ะ
รากผักชีซอย 1 ราก
กระเทียม 1 กลีบ
พริกไทย 10 เม็ด
ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
สะเดา 2 กำ
น้ำปลาหวาน
หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันสำหรับเจียว 1/4 ถ้วยตวง
พริกขี้หนูแห้ง 5-7 เม็ด
น้ำปลา 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลปี๊บ 1/4 ถ้วยตวง
น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ปลาดุกล้างให้สะอาด บั้งทั้ง 2 ด้าน
2. โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทย ตะไคร้ให้ละเอียด ผสมกับซอยหอยนางรม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลเล็กน้อยแล้วนำไปเคล้ากับปลาดุกหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที น้ำมาเสียบไม้แล้วนำไปย่างให้สุกเหลือง
3. สะเดาล้างน้ำให้สะอาดลวกในน้ำเดือดจัดตักใส่น้ำเย็น นำขึ้นให้สะเด็ดน้ำ จัดเสิร์ฟพร้อมปลาดุกย่าง
4. ผสมน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา น้ำมะขามเปียกเข้าด้วยกัน ตั้งไฟเคี่ยวจนเป็นยางมะตูมอ่อนยกลง ชิมให้ออกรสหวาน เปรี้ยว เค็ม
5. หอม กระเทียมซอย เจียวให้เหลือง กรอบ พริกขี้หนูทอดให้เหลือง กรอบ
6. เวลาเสิร์ฟให้โรยหอมเจียว กระเทียมเจียว พริกขี้หนูทอดลงบนน้ำปลาหวาน เสิร์ฟพร้อมปลาดุกย่างสะเดา และผักชี

Monday, February 16, 2009

น้ำพริกตะไคร้


น้ำพริกตะไคร้ มีส่วนผสมที่สำคัญ คือ

1. ตะไคร้ 5 ต้น
2. หอมแดง 5-6 หัว
3. กระเทียม กลีบใหญ่ 4-5 กลีบ
4. ขมิ้น เล็กน้อย
5. พริกไทยสด 1 ช้อนโต๊ะ
6. พริกขี้หนูสด 10-15 เม็ด
7. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำตาลปีบ ครึ่งช้อนโต๊ะ
9. หมูสับ 2 ขีด
10. มะพร้าวขูด 2 ขีด

วิธีทำ
1.โขลกตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ขมิ้น พริกไทยสด พริกขี้หนู ให้ละเอียด
2. ใส่กะปิ และน้ำตาลปีบ โขลกให้เข้ากัน
3. ใส่มะพร้าวขูด โขลกต่อจนทุกอย่างผสมกันดี
4. นำลงไปผัดในน้ำมันเล็กน้อย แล้วใส่หมูสับ ผัดต่อจนแห้งดี

Sunday, February 15, 2009

เต้าหู้ปลาทอดกรอบเกล็ดหิมะ


ส่วนผสม
เต้าหู้ปลา 1 ซอง
แป้งทอดกรอบหรือแป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
กระเทียมแกะเปลือก 2 ช้อนโต๊ะ
รากผักชีสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
เกล็ดขนมปัง 3 ถ้วยตวง
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำมันปาล์ม 2 ถ้วยตวง
น้ำเย็นจัดประมาณ 1/2 ถ้วยตวง
มะเขือเทศลูกใหญ่ฝาน 1 - 2 ลูก
ผักกาดหอม - แครอทขูดฝอย
แตงกวาปอกเปลือกและฝาน
น้ำจิ้มบ๊วย หรือน้ำจิ้มสูตรโบราณ

วิธีทำ
1. นำเต้าหู้ปลาหั่นแบ่งครึ่ง
2. โขลกกระเทียม รากผักชี พริกไทยป่นและเกลือป่นรวมกัน
3. ผสมแป้งด้วยน้ำเย็นให้ข้นพอประมาณ นำส่วนผสมที่โขลกมาผสมกับแป้งให้เข้ากัน
4. นำเต้าหู้ปลามาชุบแป้ง ชุบไข่ แล้วคลุกกับเกล็ดขนมปัง ทอดในน้ำมันร้อนปานกลาง พอเหลืองตักขึ้นพักไว้
5. จัดเต้าหู้ปลาใส่จาน ตกแต่งด้วยผักต่างๆ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มบ๊วยหรือน้ำจิ้มสูตรโบราณ

น้ำจิ้มสูตรโบราณ
ส่วนผสม
พริกขี้หนูสวนเม็ดเล็ก 10 เม็ด
กระเทียมแกะเปลือก 10 กลีบ
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ถั่วลิสงคั่วโขลก 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มสุก (ที่เย็นแล้ว)

วิธีทำ
1. นำพริกขี้หนู กระเทียม น้ำตาลทราย โขลกให้ละเอียด
2. เติมน้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำต้มสุก ชิมรสให้เปรี้ยวนำ เผ็ด หวาน และเค็ม
3. ตักน้ำจิ้มใส่ถ้วย โรยด้วยถั่วลิสง

Saturday, February 14, 2009

ทอดมันปลากราย


ส่วนผสม
เนื้อปลากรายขูด 300 กรัม
น้ำพริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ
ใบกะเพรา 1 ถ้วยตวง
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำ
1. ผสมเนื้อปลากรายขูดกับน้ำพริกแกงเผ็ดให้เข้ากัน นวดจนเหนียว ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลทราย นวดให้เหนียวอีกครั้ง ใส่ใบกะเพราะ
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอร้อน นำทอดมันลงทอดเป็นชิ้นๆจนสุกเหลือง รับประทานคู่กับน้ำจิ้ม

น้ำจิ้มทอดมัน
น้ำจิ้มหวานหรือน้ำจิ้มไก่ 1/2 ถ้วยตวง
แตงกวาซอยบางๆ 2 ลูก
ถั่วลิสงป่น 2 ช้อนโต๊ะ
พริกสดตำละเอียด 1 ช้อนชา

- นำน้ำจิ้มหวานใส่ถ้วย ใส่พริกสด แตงกวา ถั่วลิสง

Friday, February 13, 2009

ชนิดของแป้งทำขนมไทย

ขนมไทยมีหลากหลายชนิดไม่แพ้ชาติอื่นๆ เฉพาะแป้งที่เป็นส่วนผสมหลักในการปรุงก็กินขาดชาติไหนๆ เพราะเรามีแป้งต่างๆมากมายที่ช่วยทำให้เนื้อขนมในแต่ละชนิดมีลักษณะและรสชาติที่ไม่เหมือนกัน

แป้งข้าวเจ้า เมื่อเนื้อแป้งสุกจะมีสีขาวขุ่น ไม่ถึงกับเหนียวหนึบและไม่ถึงกับร่วนฟูเป็นเนื้อทราย มีกลิ่นหอมของข้าวที่หุงสุกใหม่ๆ เหมาะสำหรับทำขนมตาล ขนมถ้วยฟู ขนมขี้หนู หรือขนมทราย

แป้งข้าวเหนียว ชื่อก็บอกถึงคุณสมบัติว่าแป้งเมื่อสุกต้องมีความเหนียวเคี้ยวหนึบ จะมีสีขาวขุ่นเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน สังเกตได้จากขนมถั่วแปป ขนมเหนียว ขนมบัวลอย และขนมบ้าบิ่น

แป้งมันสัมปะหลัง เมื่อถูกนำมาปรุงให้สุกแป้งจะมีลักษณะข้นเหนียวเนื้อค่อนข้างใส ส่วนใหญ่มักใช้ผสมร่วมกับแป้งอื่นเพื่อให้เนื้อแป้งเกิดความเหนียวใสและดูขึ้นเงา เช่น ขนมปลากริมไข่เต่า หรือขนมด้วง หรือผสมแป้งนี้ร่วมกับแป้งข้าวเหนียว นอกจากนี้ในขนมเต้าส่วนก็มีการละลายแป้งมันกับน้ำใส่ลงไปด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้น้ำเต้าส่วนมีความข้นหนืด

แป้งสาลี เนื้อแป้งมีความเบานุ่ม ทำให้ขึ้นฟูได้มาก จึงเหมาะสำหรับทำขนมปุยฝ้าย ขนมสาลี่หรือขนมอบกรอบแบบไทย เช่น ขนมหน้านวลและขนมกลีบลำดวน

แป้งเท้ายายม่อม เป็นแป้งที่ช่วยทำให้ขนมนุ่ม ใส ดูเงางาม มักใช้ผสมกับแป้งชนิดอื่นๆ เช่น ผสมกับแป้งมันและแป้งข้าวเจ้าในขนมชั้น ใช้ผสมกับแป้งข้าวเจ้าในขนมเปียกปูนหรือขนมน้ำดอกไม้

แป้งถั่วเขียว แป้งนี้เมื่อถูกปรุงให้สุกจะมีลักษณะเด่นที่ความใสเงางามเหมือนวุ้น แต่เหนียวเด้ง นิยมนำมาทำเป็นเส้นๆ ฝอยๆ แบบเส้นหมี่ นำมาทำเป็นขนมซาหริ่ม หรือขนมเรไรได้

Thursday, February 12, 2009

จรกาชวนเสวย - ข้าวคลุกกะปิ


เครื่องปรุง
ข้าวสวย 2 1/2 ถ้วยตวง
กะปิอย่างดี 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันสำหรับผัด 1-2 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 3 ฟอง
มะม่วงดิบไสเป็นเส้น
หอมแดงซอย
พริกขี้หนูซอย
ถั่วฝักยาวซอย
แตงกวา
ผักชี
กุนเชียงทอดหั่นบาง
หมูหวาน


1. ข้าวยีให้กระจาย กระทะตั้งไฟใส่น้ำมันพอร้อนใส่กระเทียมเจียว พอเหลืองใส่กะปิ ผัดให้หอมไช้ไฟอ่อนๆ
2. ใส่ข้าวลงผัดให้กะปิเข้าด้วยกันใส่ถั่วเล็กน้อยผัดให้เข้ากันตักขึ้น
3. ไข่ไก่ตีแล่งให้เป็นตาข่าย (คล้ายกับที่ห่อหรุ่ม) เป็นแผ่นๆ
4. นำแผ่นไข่มาห่อข้าวผัดกะปิที่ผัดไว้ เป็นห่อสี่เหลี่ยมให้สวยงามจัดใส่จานให้สวยงาม จัดรวมกับมะม่วง หอมแดง พริกขี้หนู แตงกวา กุนเชียง และหมูหวานให้สวยงามโรยหน้าด้วยใบผักชี
5. วิธีทำหมูหวาน หมูติดมันหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ผัดพอสุก ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ซีอิ๊วดำ ชิมให้ออกหวานเค็ม

Wednesday, February 11, 2009

แคบหมู (สำหรับทานเองและขาย)



แคบหมู เป็นอาหารพื้นบ้าน ของชาวล้านนาไทย การทำแคบหมู เป็นวิธีการแปรรูป และถนอมอาหาร ที่เกิดจาก ภูมิปัญญาชาวบ้าน สืบทอดกันมา เป็นเวลาช้านาน แคบหมู นิยมใช้เป็นของฝาก เมืองเหนือที่มีคุณค่า ทั้งผู้ให้ และผู้รับ และเป็นผลผลิต จากการนำหนังหมู มาผ่านกรรมวิธีการทอด จนได้ลักษณะกรอบ พอง มีกลิ่นหอม รสกลมกล่อม ใช้รับประทาน เป็นอาหาร ประเภทเครื่องเคียง กับน้ำพริกเมืองเหนือและแกงคั่วต่างๆ

ลักษณะแคบหมูที่ทำจากหนังหมู
แคบหมูที่ทำจากหนังหมูนี้ยังแยกออกได้เป็นหลายลักษณะ คือ

1. แคบหมูไร้มัน ทำจากหนังหมูล้วน ๆ เป็นแผ่นขนาด 2x4 นิ้ว ส่วนมากนิยมนำมาประกอบอาหาร เช่น ทำกระเพาะปลา ต้มยำ อาหารประเภทยำต่าง ๆ เช่น ยำแคบหมู ยำใหญ่ เป็นต้น มีจำหน่ายทั่วไปในตลาด

2. แคบหมูติดมันบ้างไม่มากนัก ขนาด 1 - 2x3 - 4 นิ้ว ลักษณะจะเป็นก้อนกลม ๆ นิยมรับประทาน เป็นเครื่องเคียง ดังได้กล่าวมาแล้ว แคบหมูชนิดนี้เหมาะเป็นของฝาก
ในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย แคบหมูชนิดนี้นิยมรับประทานกันมากและ หาซื้อได้โดยทั่วไป

3. แคบหมูติดมันและมีเนื้อปน ส่วนมาก นิยมทำเป็นแผ่นใหญ่ ขนาด 7x10 นิ้ว ทำจากหนังหมูด้านข้างซี่โครง ส่วนมากนิยมทำ ที่จังหวัดตาก น่าน แพร่ ที่อำเภอลอง เป็นต้น แคบหมูชนิดนี้ ไม่นิยมรับประทานกันมากนัก เพราะเก็บไว้ไม่ได้นาน

วิธีทำแคบหมูจากหนังหมู

1. แคบหมู นิยมทำจากหนังหมู เนื่องจาก หนังหมู ราคาถูก หาง่าย
2. การทำแคบหมู เป็นวิธีการแปรรูปหนังหมู ให้เป็นอาหาร ที่เก็บไว้ได้นาน มีรสชาติอร่อย ทั้งยังเป็นการเพิ่ม มูลค่าของหนังหมู ให้มีราคาสูงขึ้นด้วย

การเตรียมทำแคบหมู

การเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการคำแคบหมู ประกอบด้วย
1. กระทะสำหรับทอด 1 ใบ
2. กะละมังขนาดกลาง 2 ใบ
3. อั้งโล่ หรือเตาไฟขนาดใหญ่ 1 เตา
4. ฟืนหรือถ่านตามสมควร
5. ปี๊บหรือหม้อเคลือบมีฝาปิด 2 ใบ
6. ตะหลิวมีด้ามยาว 1 อัน
7. กระชอนตักแคบหมูจากกระทะ 1 อัน
8. ตะกร้าไม้ไผ่สำหรับพักน้ำมัน 1 ใบ
9. ตราชั่งสำหรับชั่งหนังหมูและแคบหมู
10. ถุงพลาสติกขนาดต่าง ๆ และยางรัดของ
11. กระดาษซับน้ำมัน

การเตรียมส่วนผสม

ส่วนผสมในการทำแคบหมู ประกอบด้วย
1. เกลือ เป็นเครื่องปรุงที่เพิ่มรสชาติแคบหมูให้มีรสเค็ม กลมกล่อม ควรใช้ เกลือปน หยาบ มีสีขาว สะอาด ปราศจากฝุ่นและผงละอองเจือปน แห้งสนิท ไม่มี ความชื้น

2. ผงชูรส เป็นเครื่องปรุงเสริมแต่งให้แคบหมูมีรสชาติดียิ่งขึ้น ควรเลือกซื้อ ผงชูรสที่มีคุณภาพดีพอสมควร

3. ซีอิ๊วขาว ใช้สำหรับแต่งสี และปรุงให้แคบหมูมีสีเข้ม มีรสและกลิ่น น่ารับประทาน

4. น้ำมันหมู ใช้สำหรับทอดแคบหมู ควรเป็นน้ำมันใหม่ สะอาด ไม่เหม็นหืน และไม่มี สีดำคล้ำ

ส่วนผสม

ส่วนผสม (สำหรับทำแคบหมูเชิงธุรกิจ)

1. หนังหมู 10 กิโลกรัม
2. เกลือ 11/4 ถุง ถุงละ 100 กรัม
3. ผงชูรส 4 ช้อนโต๊ะ
4. ซีอิ้วขาวหรือดำ 1 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสม (สำหรับทำรับประทานในครอบครัว) หรือ การทำแคบหมูอย่างง่าย (คลิ๊ก)

1. หนังหมู 2 กิโลกรัม
2. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
3. ผงชูรส ? ช้อนชา
4. ซีอิ้วขาวหรือดำ ? ช้อนชา

หมายเหตุ หากใช้ซีอิ๊วดำให้ลดปริมาณลงครึ่งหนึ่งของซีอิ๊วขาว

ข้อแนะนำ

1. ส่วนผสมสำหรับทำขายและส่วนผสมสำหรับทำรับประทาน ในครอบครัว หากประสงค์จะทำแคบหมูจำนวนมากหรือน้อยกว่านี้ ก็ให้เพิ่มหรือลดส่วนผสม ลงตามส่วนที่ต้องการ หากจะทำสำหรับบริโภคในครอบครัว ควรจะใช้หนังหมู ไม่น้อยกว่า 2 กิโลกรัม มิเช่นนั้จะได้แคบหมูที่ไม่พองเท่าที่ควร

2. ถ้าใส่ส่วนผสม ซีอิ๊วมากเกินไป จะมีผลทำให้แคบหมูไม่พอง

3. ถ้าใช้หนังหมูที่ติดมันมากเกิน ? นิ้ว จะทำให้แคบหมูพองน้อย

4. ตามเกณฑ์ปกติ แคบหมูที่ได้จากการทอดหนังหมูจะได้น้ำหนัก 1 ใน 3 ของน้ำหนักหนังหมู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวน มันที่ติดกับหนังหมูที่ใช้ ในการทำ แคบหมู หากมีมันมากก็จะได้ แคบหมูจำนวนน้อยแต่ได้น้ำมัน (เหลว) มากตามส่วน

เทคนิคการเลือกหนังหมู

หนังหมูเป็นวัตถุดิบหลักและเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการทำแคบหมู แคบหมู จะอร่อย มี ลักษณะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับหนังหมู ฉะนั้นจึงมีความจำเป็น อย่างิยิ่งที่จะต้องเลือกหนังหม ูที่เหมาะสมในการทำแคบหมูมากที่สุดและดีที่สุด
การเลือกหนังหมู ควรเป็นหนังหมูที่ได้จากข้างลำตัว และหนังสะโพก เป็นหนังหมู ใหม่ ไม่มีกลิ่นเหม็น สะอาด มีสีขาวอมชมพูจาง ๆ ไม่มีสีซีดคล้ำ ไม่มี ขนติด และต้องไม่เป็นหนังที่ได้จากหมู ที่มีอายุน้อย เกินไป ควรจะมีอายุระหว่าง 3 - 6 เดือน


ขั้นตอนการทำแคบหมู

การหั่นหนังหมู
การหั่นหนังหมูก็มีบทบาทสำคัญในอันที่จะทำให้หนังหมู ที่ทอดเป็นแคบหมู แล้ว มีลักษณะพองมาก หรือน้อย และเป็นเส้นตรง หรือขดงอเป็นก้อนกลม ชวนรับประทาน ไม่น้อยไปกว่าขนาดที่ตัด ฉะนั้น ในการหั่นหนังหมู จะต้องคำนึงถึง ลักษณะของหนังหมู และขนาดที่ตัดไปพร้อมกันด้วย จึงจะได้ แคบหมู ที่มีลักษณะ พอง และขดงอเป็นก้อนกลมน่ารับประทาน แบ่งการหั่นได้ 2 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1
หั่นหนังหมูตามความยาวของลำตัวหมูตลอดชิ้น โดยกำหนด ชิ้นส่วนของ หนังหมู ที่ต้องการหั่นให้ได้ขนาด 1 - 1.5 x 3 นิ้ว โดยหั่นหนังหมูตามยาว 3 นิ้ว

ขั้นตอนที่ 2
จากการหั่นหนังหมูได้ความยาวตามลำตัวหมูกว้าง 3 นิ้วแล้ว จึงนำหนังหมู ที่หั่นได้มาหั่นเป็นชิ้นเล็กให้มีขนาด 1 - 1.5 นิ้ว ก็จะได้ชิ้นส่วนของ หนังหมู ที่หั่นเสร็จขนาด 1 - 1.5 x 3 นิ้ว หากจะหั่น ขนาดโต กว่านี้ ก็ใช้หลักในการหั่น ทำนองเดียวกัน ต่อจากนั้นนำหนังหมูที่หั่นได้ไปล้างน้ำสะอาด พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ

การทำความสะอาดหนังหมู

การทำความสะอาดหนังหมู มีขั้นตอนการทำดังนี้

1. นำหนังหมูที่เลือกอย่างดีแล้วมาทำความสะอาด โดยการใช้ใบมีดโกน ชนิดมีด้าม ขูดสิ่งสกปรก ที่ติดมากับหนังหมูออก พร้อมขูดขนหมู หรือถอนขนหมู ออกให้หมด แล้วจึงล้างน้ำสะอาด เทใส่ตะกร้าไม้ไผ่พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ

2. ในกรณีที่หนังหมูมีกลิ่นไม่สะอาดเพราะเก็บไว้นาน มีวิธีทำความสะอาด และขจัดกลิ่น นอกจากทำการขูดสิ่งสกปรกและขนออกแล้ว ให้นำไปล้างน้ำ ผสมสารส้ม อย่างเจือจาง แล้วจึงนำไปล้างน้ำให้สะอาดอีกครั้งหนึ่ง หลังจากหั่นหมู เป็นชิ้นแล้ว

การต้มหนังหมูด้วยน้ำมัน

นำหนังหมูที่ล้างสะอาดแล้ว ใส่ลงในกระทะที่เตรียมไว้สำหรับทอดแคบหมู ที่มีความกว้างและลึกให้ได้ส่วนกับจำนวน หนังหมูที่จะต้ม โดยให้มีที่ว่างพอสมควร เพื่อสะดวก ในการค้นมิให้หนังหมู และน้ำมันล้นออกมานอกกระทะ ในขณะที่ต้ม หรือทอดแคบหมู

สำหรับเชื้อเพลิงที่ใช้ในการต้มนี้ ส่วนมากถ้าทำในเชิงธุรกิจ นิยมใช้ฟืน หรือถ่าน อุณหภูมิประมาณ 110 องศาเซลเซียส ต่อจากนั้น ก็นำส่วนผสม ที่เตรียมไว้ ใส่ลงไปคนคลุกเคล้าให้เข้ากันไปเรื่อย ๆ เพื่อมิให้หนังหมู ติดก้นกระทะ และไหม้ได้ ให้คนกลับไปกลับมา พลิกข้างล่างขึ้นมาข้างบน และเกลี่ยขอบกระทะไปในตัวโดยคนด้วยตะหลิวด้ามยาวหรือไม้พาย
เมื่อส่วนผสมซึมซับเข้าไปในหนังหมูจนเป็นเนื้อเดียวกัน ให้สังเกตว่า จะมี น้ำมันออกมาบ้างแล้ว หากหนังหมูมีมันติดมาก ก็ไม่ต้องเติม น้ำมันหมู ที่สะอาด และบริสุทธิ์ลงไป แต่ถ้าหนังหมูมีมันติดน้อย หรือไร้มันก็ให้เติมหนังหมู ลงไป พอสมควร เพื่อป้องกัน มิให้หนังหมูติดก้นกระทะและจับเป็นก้อน ให้หนังหมู ถูกความร้อนโดยทั่วกัน ในขณะเดียวกัน ก็คอยแยกหนังหมูมิให้ติดกัน การต้มครั้งนี้เป็นการต้ม เพื่อลดความชื้นของหนังหมูให้น้อยลง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (โดยประมาณ)
เมื่อหนังหมูที่ต้มหดตัวและมีน้ำมันออกมามากพอสมควรแล้ว จะสังเกต เห็นว่าหนังหมูลอยตัวและไม่ติดก้นกระทะ ให้เพิ่มความร้อน ของเชื้อเพลิงขึ้นเป็น 130 องศาเซลเซียส (น้ำมันจะเดือดพล่าน) การต้มนี้เป็นขั้นตอน เพื่อให้หนังหมูสุก เหลืองและเกือบจะกรอบ โดยผ่านขั้นตอนสุกเปื่อย และหนังหมูจะเกาะกัน เป็นก้อน แล้ว ในขณะเดียวกันก็ต้องคนไปเรื่อย ๆ แต่อาจจะคนน้อยลง กว่า ตอนแรก เพื่อมิให้หนังหมูไหม้ และให้โดนความร้อนโดยทั่วถึงกัน ต้มต่อไป ประมาณ 1 ชั่วโมง ขั้นตอนนี้จะสังเกตได้ว่า หนังหมูจะแตกเสียงดัง มีน้ำมันกระเด็น ออกมา ในขณะเดียวกัน น้ำมันก็จะออกมามากจนท่วมหนังหมูและเดือดพล่าน
ในที่สุดหนังหมูจะค่อย ๆ ลอยตัวจากน้ำมัน มีสีเหลืองเข้มขึ้น และมีเสียงแตก ดังเปาะแปะ จะสังเกตเห็นว่ามีจุดพองเป็นตุ่ม ๆ เกิดขึ้นรอบ ๆ หนังหมู ขั้นตอนนี้ อาจจะต้องลดความร้อนลงบ้าง เพื่อมิให้ไหม้ คนต่อไปอีกสักครู่ ลองเอามือ จับหนังหมูดู ถ้าเห็นว่ามีลักษณะแข็งตัวพอสมควร และมีจุดพอง เกิดขึ้นโดยรอบ ก็เป็นอันว่าใช้ได้ ให้รับถอนไฟออกทันที (ดับไฟจนหมดเตา) ขั้นตอนนี้ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง รวมใช้เวลาต้มประมาณ 2 ชั่วโมง (ในกรณีทำ แคบหมู เชิงธุรกิจ)

เมื่อต้มหนังหมูจนได้ที่แล้ว มีขั้นตอนการทำ ที่สำคัญอันจะมีผลให้หนังหมูพอง เป็นแคบหมูลักษณะที่ดีหรือไม้ ซึ่งแยกปฏิบัติได้ 3 วิธี ดังนี้
วิธีที่ 1
เมื่อต้มหนังหมูด้วยน้ำมันได้ที่แล้ว ให้ดับไฟในเตา และแช่หนังหมูทิ้งไว้ ในน้ำมัน ประมาณ 2 ชั่วโมง จะสังเกตเห็นว่า ขณะที่น้ำมันเย็นลงเรื่อย ๆ หนังหมู ก็จะดูดซึมน้ำมันจนอิ่มตัวและค่อย ๆ จมลงก้นกระทะ คงเหลือแต่น้ำมันลอยท่วมอยู่ เมื่อเห็นว่าน้ำมันเย็นพอสมควรแล้ว จึงตักหนังหมูออกจากกะทะเพื่อให้สะเด็ดน้ำ แล้วจึงนำไปผึ่งลมให้คลายร้อน ต่อจากนั้นก็เตรียมเชื้อเพลิงสำหรับทอด เพื่อทำการทอดหนังหมูต่อไป
วิธีที่ 2
ตักหนังหมูที่ต้มน้ำมันได้ที่แล้ว ใช้ทัพพีโปร่งตักหนังหมูขึ้นจากน้ำมัน พักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน ขั้นต่อไปให้พักทิ้งไว้ให้เย็น ขั้นตอนนี้ หากจะให้หนังหมู คลายความร้อนเร็วขึ้น อาจจะใช้ พัดลมเป่า (เพื่อความรวดเร็ว ในการผลิต ให้ทันจำหน่าย) เมื่อเห็นว่าหนังหมูเย็นพอสมควร (อุ่น) ก็เตรียมเชื้อเพลิง สำหรับทอด เพื่อทำการทอดต่อไป

ข้อควรคำนึง อย่าใช้พัดลมเป่าหนังหมูนานเกินไปจนเย็น เมื่อนำไปทอด เป็นแคบหมู จะไม่ พองเท่าที่ควร
วิธีที่ 3
หลังจากแช่หนังหมูต้มในน้ำมันตามวิธีที่ 1 แล้ว หากมีความจำเป็น ไม่สามารถ นำมาทอดเป็นแคบหมู ในวันเดียวกันได้ ก็อาจจะแช่หนังหมูต้มในน้ำมันไว้ โดย แช่น้ำมันให้ท่วมแล้วปิดฝาให้มิดชิด มิให้สิ่งสกปรกตกลงไปได้ หากจะทอดเมื่อใด ก็นำหนังหมูที่พักไว้นั้นมาต้มน้ำมันต่อ ให้ หนังหมูคลายตัว คือมีลักษณะอ่อนตัว และนิ่ม จึงตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำ เตรียมทอดเป็นแคบหมูเหมือนวิธีที่ 2 ต่อไป

การทอดแคบหมู

เตรียมเชื้อเพลิงให้ร้อนพอสมควร ( 100 องศาเซลเซียส) ให้น้ำมัน ที่ใช้ต้ม หนังหมูทอด เมื่อน้ำมันร้อนจัดแล้ว สังเกตได้จากมีควันสีเขียวเกิดขึ้น ทดลอง โดยเอา หนังหมูที่เตรียมไว้หย่อนลงไปในกะทะ 1 - 2 ชิ้นก่อน ถ้าหนังหมู จมและลอยตัวขึ้นมาช้า ๆ แสดงว่าน้ำมันยังไม่ร้อนพอ ให้รอสักครู่ หนึ่งแล้วจึง ทดลองใหม่ จนเห็นว่าหนังหมูลอยตัวขึ้นมาทันที ก็เป็นอันว่าน้ำมันร้อนได้ที่แล้ว พร้อมที่จะทำการทอดแคบหมูต่อไป

การทอดหนังหมูต้ม ให้เป็นแคบหมูนี้ ให้ใส่พอประมาณ ดูว่ามีเนื้อที่เหลือ พอที่จะให้หนังหมู พองตัวแล้วไม่เบียดกันจนเกินไป

เทคนิคในการทอด

เมื่อใส่หนังหมูต้มลงไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัดแล้ว ให้ใช้ตะหลิวโปร่ง คอยกด หนังหมู ที่ลอยขึ้นมา จมลงไปในน้ำมันให้มากที่สุด ในขณะเดียวกันก็พยายาม คนพลิกกลับข้างบนลงข้างล่าง และแกว่งตะหลิวโปร่งไปมาสลับกัน เพื่อให้ หนังหมูขยายตัวและได้รับความร้อนจากน้ำมันโดยทั่วกัน ทอดต่อไปจนเห็นว่า แคบหมูพองตลอด ทั้งก้อนและมีสีเหลืองกรอบได้ที่แล้ว จึงตักแคบหมูขึ้นสะเด็ดน้ำมัน หรือใช้กระดาษซับน้ำมัน ทำการซับน้ำมันอีกครั้งหนึ่งก็ได้ พักทิ้งไว้ให้เย็นเตรียมบรรจุต่อไป

การบรรจุและการเก็บรักษาแคบหมู

แคบหมูเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากหนังหมูทอด มีลักษณะกรอบ ฉะนั้นในการ เก็บรักษา ต้องคำนึงถึงการรักษาคุณค่าทางอาหาร และรสชาติของแคบหมู ให้มีลักษณะกรอบ ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน

ดังนั้น ในการเก็บรักษาจะต้องมิให้ถูกความชื้น โดยการเก็บใส่ภาชนะ ที่มีฝาปิดสนิท และห่อหุ้มแคบหมูด้วยถุงพลาสติก รัดยางยึดให้แน่น ไม่ให้อากาศเข้าได้ ถ้าจำนวนไม่มาก อาจจะใส่ถุงพลาสติก รัดปากถุงให้แน่น ด้วยยางรัดของ แล้วนำเก็บเข้าตู้เย็น จึงจะสามารถเก็บรักษา ไว้หลายวัน โดยคงรสชาติเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ควรเก็บไว้นานเกินไป (ไม่ควรเกิน 5 วัน)

สำหรับการบรรจุถุงเพื่อจำหน่ายนั้น ก็ใช้วิธีบรรจุตามที่กล่าวข้างต้น เพียงแต่บรรจุ ตามราคาจำหน่ายปลีกและส่ง ตามความ เหมาะสมของแต่ละท้องถิ่น และความพอใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย สำหรับราคาจำหน่ายโดยทั่วไป ราคากิโลกรัมละ 120 - 150 บาท

แคบหมูอย่างง่าย

เครื่องปรุง
หนังหมูปนมันติดเนื้อบ้าง 1 ก.ก.
เกลือป่น
น้ำมันพืช
วิธีทำ
1. นำหนังหมูมาบั้งหรือกรีดเป็นร่องเคล้าเกลือให้ทั่วทั้งผืน ผึ่งแดดให้น้ำมันแห้ง
2. ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ยาว 2 นิ้ว กว้าง1 นิ้ว
3. นำไปเคี่ยวในกระทะ ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย เคี่ยวจนกระทั่งเหลือง
4. ตักน้ำมันที่กำลังเคี่ยวหนังใส่ในกระทะใบใหม่ ตั้งไฟให้ร้อนจัด นำหนังที่เคี่ยวแล้วไปทอดให้พอง ตักขึ้น
ลักษณะของแคบหมู
สำหรับอาหารชาวเหนือ จัดแคบหมูไว้เป็นเครื่องเคียง อาหารจำพวกเครื่องจิ้ม และยำ มีรสชาติเค็มมัน และเก็บไว้ประมาณ 1 สัปดาห์

Tuesday, February 10, 2009

คอหมูยำมะดัน


เครื่องปรุง
คอหมู 500 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรม 1/4 ถ้วยตวง
มะดันสด 6 ผล
หอมแดง 4-5 หัว
พริกขี้หนูสวน 5-7 เม็ด
น้ำปลา น้ำตาลทราย น้ำมะนาวเล็กน้อย

วิธีทำ
1. คอหมูล้างน้ำแล่เป็นแผ่นสำหรับย่าง
2. ผสมน้ำตาลปี๊บ ซอสหอยนางรมเข้าด้วยกัน นำคอหมูลงนวดสักพัก หมักทิ้งไว้ 15 นาที นำมาย่างให้สุก หั่นเป็นชิ้นบาง
3. มะดันซอยเป็นเส้น พริกขี้หนูซอย หอมแดงซอย
4. ผสมน้ำปลา น้ำตาลทรายนิดหน่อย น้ำมะนาว (ระวังเปรี้ยว เพราะมะดันมีรสเปรี้ยวอยู่แล้ว) หอมแดง พริกขี้หนู มะดัน คนให้เข้ากัน ใส่ลงในคอหมูย่างที่หั่นไว้ คนให้เข้ากัน จัดเสิร์ฟ
หมายเหตุ จะไม่ใส่มะนาวเลยก็ได้ เพราะมะดันจะมีรสเปรี้ยว แต่ที่ใส่น้ำมะนาวด้วยจะทำให้หอมขึ้น

Monday, February 9, 2009

ปลาทูต้มเค็ม


ส่วนผสม
ปลาทูตัวเล็ก 4 ตัว
น้ำตาลปี๊บ 1/4 ถ้วย
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1/4 ถ้วย
น้ำสะอาด 1 ถ้วย
ซุปก้อน 1 ก้อน
กระเทียมโทนดอง 1/4 ถ้วย
พริกขี้หนูแดง 1/4 ถ้วย
พริกไทยเล็กน้อย

วิธีทำ
1. ผัดน้ำตาลปี๊บกับน้ำมันพืชให้หอม เติมน้ำปลา ซุปก้อนและน้ำ รอให้เดือด
2. ใส่ปลาทูลงเคี่ยว ระหว่างเคี่ยวเติมกระเทียมโทน และพริกขี้หนู
3. เคี่ยวให้น้ำงวดและปลาทูสุกนุ่ม
4. จัดใส่จาน โรยหน้าด้วยผักชี เสิร์ฟขณะร้อน รับประทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ

ไข่เยี่ยวม้าผัดกะเพรากรอบ


เครื่องปรุง
ไข่เยี่ยวม้าผ่าสี่ 4ฟอง
กะเพราเด็ดใบ 1ถ้วย
กระเทียมไทยกลีบเล็ก 25กลีบ
พริกขี้หนูสีเขียวและสีแดง 30เม็ด
น้ำมันพืช 3ช้อนโต๊ะ
เนื้อหมูสับ 1/4 ถ้วย
น้ำปลา 2
ซีอิ้วดำ 1/2
น้ำตาลทราย 1-2

วิธีทำ
* โขลกกระเทียม และพริกขี้หนูเข้าด้วยกันพอแหลก ตักใส่ถ้วย พักไว้
* ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน ใส่ไข่เยี่ยวม้าลงทอดให้พอกรอบ จับเวลาประมาณ 1 นาที ตักขึ้นใส่จานไว้ จึงใส่ใบกะเพราลงทอดต่อพอกรอบ ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
* ตักน้ำมันที่ทอดออกให้เหลือประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ตั้งบนไฟกลาง ใส่เครื่องที่โขลก ผัดให้หอม ใส่หมูสับ ผัดยีพอสุกทั่ว ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ๊วดำ น้ำตาล ผัดให้เข้ากัน ชิมรสให้พอดี ใส่ไข่เยี่ยวม้าทอด และกะเพราทอดครึ่งหนึ่ง ผัดเคล้าให้เข้ากัน ปิดไฟ
* ตักใส่จาน โรยกะเพราทอดที่เหลือ เสิร์ฟ

Friday, February 6, 2009

ไข่ตุ๋นนมสด


"ไข่ตุ๋น" ง่ายๆ แต่ได้คุณค่า

เครื่องปรุง
ไข่ไก่ 3 ฟอง
ต้นหอมซอย
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
น้ำปลา
พริกไทยป่นเล็กน้อย
หอมแดงซอย 1 - 2 หัว
น้ำสะอาด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
นมสด 3 - 4 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
นำไข่มาตอกใส่ภาชนะทนความร้อน และตีไข่ให้ฟู จึงใส่ซีอิ๊วขาว น้ำปลา พริกไทยป่น หอมแดงซอย น้ำสะอาด และนมสด จากนั้นตีให้เข้ากัน โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย แล้วจึงนำใส่ลังถึง ใส่น้ำลงในลังถึงไปพอประมาณ เมื่อน้ำเดือด จึงนำถ้วยไข่ตุ๋นที่เตรียมไว้วางลงแล้วปิดฝาให้สนิท นึ่งต่อประมาณ 10 - 15 นาที ใช้ช้อนส้อมจิ้มดู ถ้าไข่ไม่ติดช้อนแสดงว่าสุกดีแล้ว

Thursday, February 5, 2009

ขิงดอง


ส่วนผสม
ขิงอ่อน 1 กิโลกรัม
น้ำตาลทราย 3 ถ้วย
เกลือป่น 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 3 ถ้วย
วิธีทำ
1. ตัดขิงออกเป็นแง่งเล็กๆ ล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วล้างอีกครั้งหนึ่ง ซอยบางๆเป็นขิงยืดแช่ในน้ำเกลือให้ท่วมประมาณ 1 ชั่วโมง(น้ำ 3 ถ้วย เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ) บีบขิงขึ้นจากน้ำเกลือบรรจุขวดประมาณ 3 / 4 ขวด(อย่าอัดแน่น)

2. ผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ ตั้งไฟคนจนน้ำตาลละลายปล่อยให้เดือดแล้วกรอง เทน้ำส้มร้อนๆลงในขวดขิงให้เต็มขวดปิดฝาเก็บไว้รับประทานได้นาน

การทำขิงยืด
วางขิงตามยาวบนเขียง ซอยเฉียงบางๆให้ลึกประมาณ 3 / 4 ของขิงอย่าให้ขาด แล้วพลิกขิงอีกด้านหนึ่งขึ้น หางขิงจะอยู่ทางซ้ายมือหมือนเดิม ซอยให้ลึก 3 / 4 ของขิง เสร็จแล้วจับยืดดูขิงจะยืดแต่ไม่ขาดจากกัน สิ่งสำคัญจะต้องซอยให้ลึกเกินครึ่งถึง 3 / 4 ของขิง
ข้อสังเกตุ
ถ้าน้ำส้มมีฝ้าขาวแสดงว่าความเข้มข้นไม่พอ บรรจุขิงแน่นเกินไปต้องเอาน้ำส้มเทออกอุ่น
แล้วเติมน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือตามส่วน เทใส่ใหม่ให้แน่นถ้าแน่นมากต้องแบ่งขิงออกใส่ขวดใหม่

Wednesday, February 4, 2009

ข้าวหน่อไม้ห่อฟองเต้าหู้ทอด

ส่วนผสม
ข้าวสาร 1 ถ้วย
เนื้อหมูสับรวน 1/2 ถ้วย
หน่อไม้จีนหั่นเส้น 1/2 ถ้วย
เห็ดหอมซอยบางๆ 1/4 ถ้วย
ขึ้นฉ่ายซอย 1/4 ถ้วย
ก้อนปรุงรสข้าวกระเทียม 1 ก้อน
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยเล็กน้อย
ฟองเต้าหู้สด

วิธีทำ
1. ซาวข้าวสารให้สะอาด เติมน้ำตามปริมาณและก้อนปรุงรสข้าว
2. เติมหมูสับรวน หน่อไม้จีน และเห็ดหอม คนให้เข้ากัน แล้วนำไปหุงจนสุก
3. ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว และพริกไทยป่น ให้ออกรสเค็ม โรยขึ้นฉายซอย เคล้าให้เข้ากัน
4. คลี่ฟองเต้าหู้ออก ตักข้าวที่หุงไว้ใส่ลงไป ห่อให้สนิท มัดด้วยดอกไม้จีน
5. ผึ่งฟองเต้าหู้ที่ห่อแล้วให้หมดๆ แล้วนำลงไปทอดในน้ำมันร้อน ไฟปานกลางจนสุกเหลือง
6. รับประทานขณะร้อน คู่กับน้ำจิ้มไก่ หรือน้ำจิ้มบ๊วย

Tuesday, February 3, 2009

ข้าวบุหรี่ (ข้าวหมกไก่)


ส่วนผสม
ไก่แก่หนักประมาณ 2 กิโลกรัม
ขิงแก่หั่นละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมปอก 2 ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าแดง 6 เม็ด
เกลือ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
การาม มาซาลา สูตร 1 (ยี่หร่าป่นละเอียด) 4 ช้อนโต๊ะ
นมเปรี้ยว 2 ถ้วย
เนยกีหรือเนยใส 300 กรัม
หอมเล็กซอยบาง ๆ 3/4 ถ้วย
ใบสะระแหน่ 1 ถ้วย
ข้าวสาร 4 ถ้วย
กานพลู 5 ดอก
อบเชยขนาด 5 ซ.ม. 3 ชิ้น
กระวาน 6 เมล็ด
หญ้าฝรั่น 2 ช้อนชา
น้ำร้อน 1 ถ้วย
มันฝรั่งปอกเปลือก 10 หัวเล็ก
แป้งสาลีกับน้ำสำหรับยาปากหม้อ

วิธีทำ
1 ล้างไก่ให้สะอาด แล้วสับเป็นชิ้นโต ๆ ให้ได้ 12 ชิ้น คือ ขา 2 ชิ้น สะโพก 2 ชิ้น หน้าอกตอนล่าง 2 ชิ้น หน้าอกตอนบนติดปีก 2 ชิ้น คอ 2 ชิ้น หลัง 2 ชิ้น
2 ตำขิง กระเทียม พริกแดง ให้ละเอียด เอามาคลุกกับไก่พร้อมด้วยเกลือและน้ำตาล ยี่หร่าป่นละเอียด 4 ช้อนโต๊ะ อบเชยป่นละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ กานพลูป่นละเอียด 1 ช้อนชา เม็ดในกระวาน 1 ช้อนโต๊ะ ทุกอย่างผสมให้เข้ากัน ใส่นมเปรี้ยวลงไปด้วย ใบสะระแหน่ 1/2 ถ้วย หอมเจียวในน้ำมันเนยจนเหลือ 1/2 ส่วน หญ้าฝรั่นชงในน้ำร้อน ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วตักเอาแต่หญ้าฝรั่น คลุกกับไก่ จัดลงในหม้อแขกขนาดกว้าง 30 เซนติเมตร โรยด้วยหอมเจียวกับใบสะระแหน่ที่เหลือ ส่วนมันฝรั่งก็แช่ในน้ำหญ้าฝรั่นแล้วเรียงให้รอบหม้อไก่
3 การอบกลิ่นให้หอม เขาจะใช้แป้งสาลีนวดกับน้ำจนนุ่มเหนียว แล้วปั้นให้เป็นเบ้าหรือถ้วยเล็ก ๆ โตประมาณ 4-5 เซนติเมตร เอามาวางตรงกลางหม้อไก่ คีบถ่านแดง ๆ ใส่ในเบ้าไก่สักก้อนหนึ่ง แล้วเอาน้ำมันที่เจียวหอม ราดบนถ่านไฟให้เกิดควันคลุ้ง รีบปิดฝาหม้อ เพื่อให้ไก่ได้อบควันเนย อบไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
4 ตักน้ำ 4-5 ลิตร ใส่หม้อพร้อมกับกานพลู อบเชย กระวาน ตั้งไฟให้เดือดพล่าน ใส่ข้าวสารเก่า ซึ่งซาวไว้ก่อนแล้วลงในหม้อประมาณ 5 นาที
5 เปิดฝาหม้อไก่ที่อบไว้ เอาเบ้าหรือถ้วยที่ใส่ถ่านโรยเนยออก ตักข้าวด้วยทัพพีที่มีรูขึ้นใส่เกลี่ยในหม้อไก่ให้ทั่ว อย่าให้น้ำข้าวติดข้าวนะคะ (ถึงได้ใช้ทัพพีมีรูไงล่ะ) ราดข้าวด้วยน้ำชงหญ้าฝรั่น กับน้ำมันเนยที่เจียวหอมเก็บน้ำมันไว้ 1 ช้อนชา ทีนี้ก็เอาเบ้าแป้งที่ใช้อบควันวางบนข้าวอีกทีหนึ่ง ใส่ถ่านไฟก้อนใหม่ลงไป เอาน้ำมันเนยที่ขยักไว้ ราดให้เกิดควัน ปิดฝาอบข้าวไว้ ยาขอบหม้อด้วยแป้งสาลีนวดกับน้ำจนเหนียวนุ่ม จะได้กันไม่ให้ไอน้ำออก
6 ยกหม้อขึ้นตั้งไฟ พอเดือดสักพักหนึ่ง ราไฟข้างล่างให้เหลือเพียงรอบ ๆ หม้อเล็กน้อย นำถ่านไฟข้างล่างมาใส่บนฝาหม้อ เพื่ออบ ทิ้งไว้จนข้าวระอุและน้ำแห้งเอาถ่านและขี้เถ้าบนฝาหม้อออก อย่าลืมเช็ดให้สะอาดแกะแป้งที่ขอบหม้อออก เปิดฝาหม้อ เอาเบ้าหรือถ้วยเล็ก ๆ ที่ใช้อบควันออก ใช้ไม้พายโยงหรือคุ้ยข้าวแล้วตักใส่ชามอ่างไว้ ตักเอาไก่และมันฝรั่งขึ้นจากหม้อพักไว้
7 คลุกข้าวกับน้ำมันและน้ำพริกก้นหม้อให้เข้ากันตักใส่จาน เอาไก่และมันฝรั่งประดับ รับประทานกับแตงกวาดองเปรี้ยว ยิ่งถ้ามีแกงเปรี้ยวด้วย ยิ่งอร่อยใหญ่เพราะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ข้าวบุหรี่ สูตรนี้ ถ้าใครทำเสร็จแล้ว ตักใส่บาตรถวายพระ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของสูตรสักหน่อยก็ดีค่ะ เพื่อรำลึกถึงพระคุณของอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้วค่ะ

Monday, February 2, 2009

ข้าวขาหมู


เครื่องปรุง :
- ขาหมู (ขาหน้า) 800 กรัม
- กระเทียม 10 กลีบ
- รากผักชี 3 ราก
- ผงพะโล้ 1/2 ช้อนชา
- พริกไทยเม็ด 20 เม็ด
- ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
- ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ

เครื่องเคียง :
- ข้าวเปล่า
- ผักกาดดองต้ม หรือคะน้าต้นเล็กลวก
- ผักชี
- ต้นหอม
- กระเทียมสด
- พริกขี้หนู
- ไข่ต้ม

เครื่องปรุงน้ำจิ้ม :
- พริกเหลือง 2 เม็ด
- รากผักชี 1 ราก
- กระเทียม 10 กลีบ
- เกลือ 1/4 ช้อนชา
- น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำน้ำจิ้ม :
1. โขลกพริก รากผักชี กระเทียม และเกลือพอแหลก แล้วนำไปผสมกับน้ำส้ม
คนให้เข้ากัน

วิธีทำ :
1. ตรวจดูว่าขาหมูที่ซื้อมาว่ามีขนหรือไม่ ถ้ายังถอนขนไม่หมดให้นำไปลนไฟ
ให้ขนไหม้หมด เสียก่อน แล้วจึงนำ ไปล้างน้ำให้สะอาด ใส่ขาหมูลงไปในหม้อที่เตรียมไว้
2. เทน้ำลงในหม้อประมาณค่อนหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ ใส่เครื่องปรงุทั้งหมดลงไปในหม้อ
ต้มจนเดือด ใช้ไฟปานกลาง
3. หลังน้ำเดือดให้เคี่ยวขาหมูต่อไปจนเนื้อนุ่ม แล้วจึงชิมรสชาติตามชอบ
4. เมื่อเนื้อหมูนุ่มแล้ว ให้ตักขาหมูขึ้นมาพักไว้ให้เย็น แล้วหั่นเนื้อหมูออกเป็นชิ้นพอคำ
นำไปวางบนข้าวสวย หั่นผักกาดดองต้มหรือผักคะน้าลวกวางไว้ข้าง ๆ พอประมาณ
แล้วตักน้ำพะโล้ราดลงไป โรยหน้าด้วยผักชี รับประทาน กับน้ำจิ้ม และเครื่องเคียงอย่าง
กระเทียม ต้นหอม และพริกขี้หนู

Sunday, February 1, 2009

ขนมจีนน้ำยากะทิสด


ส่วนผสมเครื่องแกง

พริกแห้งเม็ดเล็กแกะเม็ดแช่น้ำ 20 เม็ด
พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเม็ดแช่น้ำ 10 เม็ด
กระเทียม 1/4 ถ้วยตวง
หอมแดงซอย 1/4 ถ้วยตวง
ตะไคร้ซอย 1/4 ถ้วยตวง
กระชายหั่น 1/4 ถ้วยตวง
ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 2 ช้อนชา
กะปิ 1/2 ช้อนชา

ส่วนผสม

เส้นขนมจีน 1 1/2 กิโลกรัม
ปลาน้ำดอกไม้ 600 กรัม
มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม
น้ำ 3 1/2 ถ้วยตวง
ตะไคร้หั่นท่อนขนาด 2 นิ้ว 5 ชิ้น
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
ใบมะกรูดฉีก 1/2 ถ้วยตวง
ผักสด ผักลวก หรือ ผักดอง ไข่ต้ม

วิธีทำ

1. ล้างปลาและควักไส้และเหงือกออก พักไว้

2. คั้นมะพร้าวด้วยน้ำอุ่น 2 ถ้วย คั้นให้ได้หัวกะทิ 3 ถ้วย ใส่น้ำอุ่นอีก ½ ถ้วยคั้นให้ได้หาง 1 ถ้วยตวง จากนั้นเติมน้ำพร้อมกับใส่ตะไคร้ในในหม้อไฟปานกลางจนเดือดจัดใส่ปลาลงต้มนาน 15 นาที หรือจนมีกลิ่นหอมสังเกตุดูว่าเนื้อปลาล่อน ตักใส่จานเมื่ออุ่นแกะลงในโถปั่น ตามด้วยหัวกะทิ 1 ถ้วย ปั่นจนเนื้อละเอียด พักไว้

3. ทำน้ำยาโดยการปั่นเครื่องแกงทั้งหมด ตามด้วยทางกะทิปั่นด้วยกันให้ละเอียด เทลงใส่หม้อใส่หัวกะทิที่เหลือตามด้วยเนื้อปลา คนให้เข้ากันตั้งไฟปานกลาง เมื่อร้อนปรุงรสตามความชอบปิดไฟใส่ใบมะกรูด จัดขนมจีนใส่จานตักน้ำยากะทิสดราด เสิร์ฟพร้อมตะกร้าผักเหนาะ ไข่ต้ม